ข่าวเมืองไทย 360 องศา

เพราะหากพิจารณาจากองค์ประกอบอื่นๆรอบตัวแล้วในเวลานี้และต่อเนื่องไปจนถึงอนาคตก็ต้องบอกว่า “มันไม่เป็นใจ” ให้กับ คสช. ไม่เว้นแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือว่าได้ผ่าน “จุดพีค” สุดมาแล้ว อาจจะเป็นเพราะทำตัวเอง ทำลายศรัทธาที่ชาวบ้านเคยมอบให้อย่างเต็มเปี่ยม แต่มาวันนี้แม้ว่ายังมีเหลืออยู่แต่รับรองว่ามันลดน้อยถอยลงไปมาก และเวลานี้เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในช่วงไม่กี่เดือนนี้มันจะฟื้นคืนกลับมาได้แค่ไหนยังคงเป็นคำถาม

ความหมายจึงไม่ต่างจากการ “ชิ่ง” ออกห่างให้มากที่สุด แม้ว่าจะพยายามเข้าใจว่ากรณีที่เกิดขึ้นนั้นมันวางตัวลำบาก เหมือนกับว่า “พลาด” แล้วทำอะไรไม่ถูกอะไรประมาณนั้น แต่กลายเป็นว่ายิ่งแก้ตัวกลับยิ่งเสียแต้ม เพราะไปทำลายความรู้สึกของคนที่เคารพศรัทธาในอดีตพระพุทธะอิสระ ซึ่งก็เชื่อมโยงมาถึงมวลชน กปปส. ได้ไม่น้อย

ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาศัยความเขี้ยว สยบความร้อนแรงแบบดับไฟลงไปอย่างทันควันนั่นคือ ประกาศว่าการเลือกตั้งต้องเกิดขึ้นในต้นปี 2562 ตามกำหนดเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนกับบอกพวกอยากเลือกตั้งให้รออีกหน่อย ดังนั้นหากบอกว่า นาทีนี้ถือว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชากุมความได้เปรียบมากกว่าใคร โดยเฉพาะ “ตัวชิง” เก้าอี้นายกฯครั้งหน้าทอดตาไปทางไหนก็ยังไม่เห็นใครโดดเด่นเท่า

ภารกิจการปฏิรูปตำรวจนี่แหละถือว่าอีกหนึ่งไม้ตายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะสร้างผลงานให้จดจำส่งท้าย เพราะนี่คือเรื่องหลักที่ชาวบ้านคาดหวัง ถ้าทำได้ก็ได้แต้มอักโข แต่ถ้าโม้หรือท่าดีทีเหลวก็น่าจะพอเดาออกว่าผลจะเป็นแบบไหน

เอาเป็นว่ากำหนดการเยือนถิ่นบุรีรัมย์และสุรินทร์ที่จะถึงนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องถือว่าน่าติดตามเป็นอย่างยิ่งในทางการเมืองถือว่า หากได้กลุ่มภูมิใจไทย ของเนวิน-อนุทิน เข้ามาเพิ่ม มันก็ย่อมเป็นหลักประกันความมั่นคงในการได้เสียงสนับสนุนให้เป็นนายกฯอีกรอบได้แน่นอนขึ้น อย่างน้อยก็ให้ได้เสียงโหวตเป็นนายกฯมาก่อน จากนั้นค่อยมาว่ากันถึงการดึงพรรคการเมืองอื่นเข้ามาเพิ่ม ในการฟอร์มคณะรัฐมนตรีซึ่งถึงตอนนั้นก็ไม่น่าจะยากแล้ว

ดังนั้น ด้วยภาวะของพรรคเพื่อไทย ที่เรียกว่า “เลือดไหลไม่หยุด” แบบที่เห็น จึงจำเป็นอยู่เองที่ต้องรีบหาทาง “หยุดเลือด” ให้ได้โดยเร็ว และนี่แหละจึงน่าจะเป็นที่มาของภาพของการ “ยกขบวนใหญ่” ไปถึงถิ่นสะสมทรัพย์ที่นครปฐมกันแบบเอิกเกริกอย่างที่เห็น แม้ว่านาทีนี้ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนว่ายังอยู่หรือไป แต่อย่างน้อยก็ต้องเร่งหาทางสกัดเอาไว้ก่อน ส่วนจะ “เอาอยู่” หรือไม่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง

หากประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวมไปถึงแนวโน้มข้างหน้าเชื่อว่ากระแสโจมตีแบบนี้มันจะยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ และแน่นอนว่านี่คือความพยายามดิสเครดิตรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้มากที่สุด อย่างน้อยก็ช่วงก่อนการเลือกตั้ง ส่วนจะได้ผลทำให้ฝ่ายตรงข้ามร่วงหรือรุ่งอีกไม่นานก็จะเห็นกัน เพราะเวลานี้ทางฝ่ายรัฐบาลก็เร่งโหมโปรเจ็กต์ด้านเศรษฐกิจรากหญ้ากันแบบเล็งเห็นผลกันในเวลาจำกัด ต่างเดิมพันสูงด้วยกันทั้งคู่

ที่ผ่านมา มีหลายคนพยายามจับตามองและตั้งข้อสังเกตกันมานานแล้วว่า “พี่ใหญ่” พยายาม “วัดรอยเท้าป๋า” หรือไม่ หรือ “ขบเหลี่ยม” กันหรือไม่ ซึ่งในวงการก็พยายามจับตาทุกครั้งหากมีเทศกาลสำคัญที่บรรดาคณะรัฐมนตรีและผู้บัญชาการเหล่าทัพเข้าไปขอพรในบ้านสี่เสาเทเวศร์ โดยครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ พล.อ.ประวิตร ไม่ได้เข้าไป แต่ก่อนหน้านั้น เขาก็ไม่ได้เข้าไป

ที่ผ่านมา สุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่เคยกล่าวถึงบรรดาแกนนำพันธมิตรฯ หรือแม้แต่ที่พันธมิตรเข้ามาสนับสนุนการชุมนุมของ กปปส.ก็ไม่เคยได้ยินคำพูดออกมาจากปากแต่อย่างใด ทำให้เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจไม่น้อยสำหรับท่าทีของเขาล่าสุด ทำให้อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่านี่คือความพยายามในการหาพันธมิตรใหม่ เพื่อคะแนนเสียงสำหรับรองรับพรรคการเมืองที่กำลังตั้งขึ้นมาใหม่หรือใม่